“น้ำพริก” ถือเป็นอาหารหลักที่อยู่คู่กับสำรับกับข้าวของคนไทยมายาวนาน และไม่เพียงให้สารอาหารที่ครบถ้วนแก่ร่างกาย อาทิ โปรตีน เกลือแร่แล้ว ผู้บริโภคยังได้รับวิตามินจากผักจิ้ม หรือเครื่องเคียงอีกด้วย และการรับประทานน้ำพริกยังเป็นการสะท้อนวัฒนธรรมการกินอยู่ของคนไทย ที่เน้นความเรียบง่าย รู้จักประยุกต์พืชผักสวนครัวให้เป็นเมนูที่แสนอร่อย
และในวาระครบ 101 ปี ชาตกาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 13 ผู้มีความสามารถหลากหลายสาขาทั้งนักปราชญ์ นักเขียน นักการเมือง นักการทูต และยังเป็นผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำพริกที่อยู่คู่กับคนไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ และได้เขียนหนังสือชื่อ “น้ำพริก” บอกเล่าเรื่องราวน้ำพริกที่ได้รับความนิยมกินในบ้านซอยสวนพลู ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ ร่วมสืบสานตำนานอาหารคู่บ้านคู่เมือง จัดงาน “ร้อยน้ำพริก พันเครื่องเคียง” รวบรวมสารพันน้ำพริกขึ้นชื่อตามสูตร ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช 28 เมนู อาทิ น้ำพริกผักต้ม, น้ำพริกใบมะขาม,น้ำพริกเต้าเจี้ยว, น้ำพริกมะเขือขื่น,น้ำพริกเต้าหู้ยี้, น้ำพริกผักชี,น้ำพริกไข่เค็ม,น้ำพริกปลาร้า, น้ำพริกลงเรือ, น้ำพริกกะปิ,น้ำพริกกระท้อน,น้ำพริกมะขามสด ฯลฯ พร้อมไฮไลต์ของงานน้ำพริกหากินยาก 10 เมนู ได้แก่
1. น้ำพริกนครบาล
2. น้ำพริกพริกไทยสด
3. น้ำพริกขี้กา
4. น้ำพริกถั่วเน่า
5. น้ำพริกก้อยกุ้ง
6. น้ำพริกมะดัน
7. น้ำพริกปลาร้าหลนในกะลา
8. น้ำพริกไข่ปู
9. น้ำพริกขี้หนูหลน
10.น้ำพริกป่า
มาจัดแสดงที่อีเวนต์ ฮอลล์ ศูนย์การเดอะมอลล์ บางกะปิ ระหว่างนี้ถึงวันที่ 25 ม.ค.2556 โดยจัดจำหน่ายวันละ 5เมนูจากฝีมือการปรุงของผู้เชี่ยวชาญจาก ม.ราชภัฏสวนดุสิต นอกจากนี้ยังมีน้ำพริกอีกหลากหลายเมนูจากบูธร้านค้ากว่า 20 ร้าน
และในวาระครบ 101 ปี ชาตกาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 13 ผู้มีความสามารถหลากหลายสาขาทั้งนักปราชญ์ นักเขียน นักการเมือง นักการทูต และยังเป็นผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำพริกที่อยู่คู่กับคนไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ และได้เขียนหนังสือชื่อ “น้ำพริก” บอกเล่าเรื่องราวน้ำพริกที่ได้รับความนิยมกินในบ้านซอยสวนพลู ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ ร่วมสืบสานตำนานอาหารคู่บ้านคู่เมือง จัดงาน “ร้อยน้ำพริก พันเครื่องเคียง” รวบรวมสารพันน้ำพริกขึ้นชื่อตามสูตร ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช 28 เมนู อาทิ น้ำพริกผักต้ม, น้ำพริกใบมะขาม,น้ำพริกเต้าเจี้ยว, น้ำพริกมะเขือขื่น,น้ำพริกเต้าหู้ยี้, น้ำพริกผักชี,น้ำพริกไข่เค็ม,น้ำพริกปลาร้า, น้ำพริกลงเรือ, น้ำพริกกะปิ,น้ำพริกกระท้อน,น้ำพริกมะขามสด ฯลฯ พร้อมไฮไลต์ของงานน้ำพริกหากินยาก 10 เมนู ได้แก่
1. น้ำพริกนครบาล
2. น้ำพริกพริกไทยสด
3. น้ำพริกขี้กา
4. น้ำพริกถั่วเน่า
5. น้ำพริกก้อยกุ้ง
6. น้ำพริกมะดัน
7. น้ำพริกปลาร้าหลนในกะลา
8. น้ำพริกไข่ปู
9. น้ำพริกขี้หนูหลน
10.น้ำพริกป่า
มาจัดแสดงที่อีเวนต์ ฮอลล์ ศูนย์การเดอะมอลล์ บางกะปิ ระหว่างนี้ถึงวันที่ 25 ม.ค.2556 โดยจัดจำหน่ายวันละ 5เมนูจากฝีมือการปรุงของผู้เชี่ยวชาญจาก ม.ราชภัฏสวนดุสิต นอกจากนี้ยังมีน้ำพริกอีกหลากหลายเมนูจากบูธร้านค้ากว่า 20 ร้าน
ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์อาหารอย่าง อ.เผ่าทอง ทองเจือ ให้ข้อมูลว่า ทั้ง 10 เมนูนี้นับเป็นเมนูที่หารับประทานยาก อีกทั้งมีกรรมวิธีการปรุงค่อนข้างประณีตละเอียดอ่อน
โดยเฉพาะ “น้ำพริกนครบาล” ที่ถือเป็นเมนูหรูหราในยุคนั้น เนื่องจากใช้เครื่องปรุงหลายชนิดที่ต้องโขลกแยกกัน แล้วจึงค่อยนำส่วนผสมมาคลุกเข้าด้วยกัน เช่น ปลากรอบ กากหมู กุ้งเผา พริกแห้งกับเกลือ กะปิเผา กระเทียมเผา มะขามเปียก ขูดเอาแต่เนื้อระกำ ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปึก น้ำส้มซ่า น้ำส้มเหม็น และน้ำมะนาว ส่วนเครื่องเคียงนั้น อ.เผ่าทองระบุว่า ต้องรับประทานคู่กับ ปลาดุกทอดฟู ปลากรอบปิ้ง กุ้งทอด ผักสดหรือผักเผา เช่น มะเขือ แตงกวา ถั่วพู มะแว้ง ผักชี ผักช่อม่วง มะกอก ดอกอโศก ฯลฯ
รองลงมาได้แก่ “น้ำพริกถั่วเน่า” ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำพริกกะปิ แต่จะนำถั่วเน่าไปย่างไฟให้หอม แล้วจึงนำมาโขลกกับเกลือ กุ้งแห้ง และกระเทียมให้เข้ากัน จากนั้นตามด้วยกะปิเผา พริกชี้ฟ้าแดงและเหลือง โขลกพอแหลกแล้วใส่พริกขี้หนูบุบพอแตก แล้วปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปึก น้ำมะนาวให้มีรสเค็ม หวาน และเปรี้ยว สำหรับเครื่องเคียงที่เข้ากันนั้นได้แก่ผักสดชนิดต่างๆ
สำหรับใครที่ไม่ชอบรับประทานน้ำพริกที่มีรสเปรี้ยว กูรูด้านประวัติศาสตร์อาหารแนะนำว่า “น้ำพริกไทยสด” ก็ถือเป็นอีกเมนูเรียกน้ำย่อยได้ดี เนื่องจากจะมีรสเค็มนำและหวานตาม เพราะใช้ส่วนผสมหลักอย่างพริกไทยสด กระเทียม กะปิ มะดัน พริกชี้ฟ้าเหลือง จากนั้นปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล และหมูสามชั้นผัดพอสุก แล้วนำส่วนผสมทุกอย่างผัดให้เข้ากัน ที่สำคัญต้องรับประทานคู่กับผักสดๆ เพราะเชื่อกันว่าจะช่วยชูรสชาติของน้ำพริกให้อร่อยขึ้น ฟากน้ำพริกที่ต้องรับประทานคู่กับยอดผักบุ้งและ “สร่ง” หรือเครื่องเคียงที่ทำจากหมูสับ หรือไข่เค็มปั้นเป็นก้อนกลมแล้วพันด้วยเส้นหมี่ที่ลวกแล้ว จากนั้นนำไปทอดให้เหลือง
นอกจากนี้ยังมี “น้ำพริกไข่ปูทะเล” ซึ่งให้รสกลมกล่อมและมีไข่ปูทะเลต้มสุกโรยหน้า และรับประทานร่วมกับเนื้อเค็มทอด ปลาแห้งปิ้ง หรือผักสมุนไพรพื้นบ้านอย่างใบทองหลางมน ใบทองหลางลาย และผักบุ้งทอดกรอบ น้ำพริกชนิดนี้เป็นเมนูที่เจ้านายชั้นสูงอย่าง “สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต” ที่เมื่อครั้งได้เสด็จประพาสเมืองสมุทรสงคราม พร้อมด้วยเจ้านายวังบางขุนพรหม ทรงโปรดปรานเป็นพิเศษ และเป็นเมนูที่หลายคนอาจไม่รู้จัก
ตามมาด้วยน้ำพริกที่มีสีสันน่ารับประทานอย่าง “น้ำพริกป่า” ที่ไม่ต้องใช้ครกกับสากในการปรุง แต่ใช้วิธีคลุกเคล้าส่วนผสมหลักให้เข้ากันแทน อาทิ กุ้งเผา ส้มซ่า หอมแดง กระเทียม กะปิ เกลือ น้ำปลา น้ำตาลปึก พริกขี้หนูทุบหรือซอย และเพื่อเพิ่มรสชาติของน้ำพริกป่าให้อร่อยยิ่งขึ้นนั้น อ.เผ่าทองแนะนำให้รับประทานร่วมกับ ปลาดุกย่าง ปลาช่อนทอด ไข่เจียว ส่วนเมนูน้ำพริกที่ถูกใจคนชอบรับประทานเปรี้ยว อ.เผ่าทองแนะนำ “น้ำพริกมะดัน” ที่หารับประทานได้เฉพาะหน้ามะดัน และต้องรับประทานคู่กับปลาทูนึ่งทอดและผักสดล้างสะอาดเท่านั้นจึงจะเข้ากัน
ส่วนใครที่ชอบน้ำพริกสไตล์กึ่งอาหารอีสานอย่างลาบหรือก้อย “น้ำพริกก้อยกุ้ง” ก็ถือเป็นอีกเมนูน้ำพริกที่ช่วยให้เจริญอาหารได้ไม่แพ้เมนูอื่นๆ ปิดท้ายกันด้วยเมนูน้ำพริกหากินยากจำพวกหลน อย่าง “ปลาร้าหลนในกะลา” และ“พริกขี้หนูหลน” ที่ต้องอาศัยส่วนประกอบอย่างกะทิเป็นตัวชูโรง และผู้รับประทานควรเพิ่มรสชาติน้ำพริกหลนด้วยผักสดที่หาได้ตามริมรั้วอย่างสายบัว ผักตบ มะเขือ แตงกวา
เนื่องจากน้ำพริกจะเป็นเมนูที่ให้สารอาหารหลากหลาย ช่วยให้ผิวพรรณดี แล้วยังสามารถรับประทานหมุนเวียนได้ตลอดทั้งปี อ.เผ่าทองแนะนำว่า“ควรเปลี่ยนจากเมนูอาหารแช่แข็ง หรืออาหารฟาสต์ฟู้ดมารับประทานน้ำพริกกันดีกว่า โดยเฉพาะช่วงต้นปีมีมะขามเยอะ ก็ให้รับประทานน้ำพริกมะขาม ส่วนปลายปีนั้นเป็นช่วงที่ปลามันและมีความอร่อย ก็ควรเลือกรับประทานน้ำพริกปลาทู”.
เนื่องจากน้ำพริกจะเป็นเมนูที่ให้สารอาหารหลากหลาย ช่วยให้ผิวพรรณดี แล้วยังสามารถรับประทานหมุนเวียนได้ตลอดทั้งปี อ.เผ่าทองแนะนำว่า“ควรเปลี่ยนจากเมนูอาหารแช่แข็ง หรืออาหารฟาสต์ฟู้ดมารับประทานน้ำพริกกันดีกว่า โดยเฉพาะช่วงต้นปีมีมะขามเยอะ ก็ให้รับประทานน้ำพริกมะขาม ส่วนปลายปีนั้นเป็นช่วงที่ปลามันและมีความอร่อย ก็ควรเลือกรับประทานน้ำพริกปลาทู”.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น