วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เปิดเผยกองทัพลับ UFO ของฮิตเลอร์! ในช่วงสงครามโลกครั้งที่2

เปิดเผยกองทัพลับ UFO ของฮิตเลอร์! ในช่วงสงครามโลกครั้งที่2


ต้องขอเกลิ่นนำก่อนว่า ฮิตเลอร์ สุดยอดผู้นำเผด็จการ มีความเชื่อในเรื่องของพลังเหนือธรรมชาติอยู่แล้ว เขาเชื่อว่าผู้ที่ได้ครอบครองพลังเหล่านั้นจะเป็นคนที่ถูกมอบหมายให้บริหารโลกนี้แต่เพียงผู้เดียว ฮิตเลอร์เชื่อในเรื่องเผ่าพันธ์เขามองว่า เผ่าอารยันที่มีผมสีทอง ตาสีฟ้า จะเป็นคนที่เข้ามาจัดการกับโลกนี้ให้ไปในเส้นทางที่ถูกต้อง




ฮิตเลอร์ ได้เสนอทฤษฏีที่ว่า ชาวเยอรมันนั้นมีต้นกำเหนิดมาจากชาวแอตแลนติส ที่เอาตัวรอดมาจากยุคน้ำแข็งได้สำเร็จจนมาสร้างความเกรียงไกรได้ในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นชาวอารยันจึงมีความสำคัญต่อโลกในทุกๆทาง ทั้งการวิทยาศาสตร์ ศาสนา การเอาตัวรอด และการสงคราม นั่นนำมาสู่ความเชื่อและการกระทำที่ต้องคัดกรองมนุษย์ให้เหลือแต่อารยันแท้ๆ เท่านั้นที่สำคัญ ส่วนยิว หรือเผ่าอื่นๆต้องตายหรือถูกกำจัดไป




รายงานจากนิตยสารวิทยาศาสตร์ พีเอ็ม ของประเทศ เยอรมนี ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลลับสุดยอด จนทำให้โลกต้องตะลึงกันอีกครั้ง เมื่อระบุว่า อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อดีตผู้นำเผด็จการ ของพรรคนาซี ได้เคยสั่งให้ทีมนักวิทยาศาสตร์ บรรจงสร้าง จานบิน หรือ UFO ที่สุดแสนจะเหนือจินตนาการ จนสามารถพัฒนาถึงขั้นสร้าง ต้นแบบ ที่ใช้บินได้จริงมาแล้ว ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อใช้ต่อสู้กับฝ่ายสัมพันธมิตร (อังกฤษและสหรัฐ)




ฮิตเลอร์ เริ่มโครงการสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ชนิดพิเศษหลายโครงการ เช่น UFO ขึ้นลงตามแนวดิ่งที่สามารถบินได้เร็วเหนือเสียง, จรวดนำวิถียิงจากระยะไกล, เครื่องบินทิ้งระเบิดสมรรถนะสูง และระเบิดปรมาณู เป็นต้น ฮิตเลอร์สามารถทำโครงการได้สำเร็จเพียงบางโครงการเท่านั้น เมื่อกองทัพรัสเซียบุกเข้ายึดกรุง เบอร์ลิน ก่อนที่สุดท้าย ฮิตเลอร์ จะยิงตัวตาย เพราะการถูกจับไปเป็นเฉลยคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

 



อย่างไรก็ตาม หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง นักวิทยาศาสตร์ของนาซีได้เข้าร่วมโครงการทดลองด้านอวกาศของสหรัฐฯเป็นจำนวนมาก โดยมีทางด้าน โจเซฟ แอนเดรียส์ วิศวกรคนหนึ่งของโครงการเปิดเผยว่า กองทัพนาซีสร้าง UFO ต้นแบบไว้ถึง 15 ลำ โดยห้องนักบินจะอยู่ส่วนกลางของตัวเครื่อง และมีปีกที่ปรับหมุนได้แผ่ออกเป็นวงกลม ซึ่งช่วยให้เครื่องสามารถลอยขึ้นได้

นอกจากนี้ อิกอร์ วิตคอว์สกี อดีตนักข่าวและนักประวัติศาสตร์การทหารชาวโปแลนด์ เขียนในหนังสือ “Prawda O Wunderwaffe” ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2000 ว่า กองทัพนาซีเคยสร้างเครื่องบินลักษณะคล้ายระฆังคว่ำ และ ฮิตเลอร์ สั่งให้รวบรวมนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรมาช่วยงานกองทัพเป็นจำนวนมาก ซึ่งโครงการดังกล่าวของนาซีมีชื่อว่า “ชรีเวอร์-ฮาแบร์โมล” ทำการทดลองในกรุงปรากระหว่างปี 1941-1943 โดยมีรูดอล์ฟ ชรีเวอร์ เป็นวิศวกรและนักบินทดลอง และ ออตโต ฮาแบร์โมล เป็นวิศวกรคนที่ 2






ขณะเดียวกัน “พีเอ็ม” นิตยสารด้านวิทยาศาสตร์ ของประเทศ เยอรมัน ยังเปิดเผยอีกว่า กองทัพนาซีได้ทำลายบันทึกการทดลองทางวิทยาศาสตร์ไปเป็นจำนวนมาก แต่ในปี 1960 ผู้เชี่ยวชาญด้าน  UFO ในแคนาดาได้ทดลองสร้างวัตถุดังกล่าวขึ้นใหม่ และพบว่ามันสามารถ บินได้จริง


ช็อคโลก ! มีมนุษย์ต่างดาวปะปนอยู่กับพวกเรามากว่า 80 ปีแล้ว

ช็อคโลก ! มีมนุษย์ต่างดาวปะปนอยู่กับพวกเรามากว่า 80 ปีแล้ว



เป็นคำถามที่พวกเราเฝ้าถามกันมาตลอดว่า มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่?” บางคนก็ไม่เชื่อ เพราะยังไม่เคยเห็นและยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่บางคนก็เชื่อเพราะจักรวาลนี้มันกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก ซึ่งก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาไม่น้อยกว่าชาวโลกอยู่บ้างแหละ แต่ทฤษฎีหลังนี้น่าจะมีแนวโน้มเป็นจริงมากขึ้น เมื่อมีแหล่งข่าวระดับสูงอ้างว่า

“มนุษย์ต่างดาวมีจริง และอยู่ปะปนกับมนุษย์โลกไม่ต่ำกว่า 80 ปีมาแล้ว” 

สำนักข่าวท้องถิ่น เนวาด้าเดลี่เมล์ ได้รายงานเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เมื่อนักข่าวคนหนึ่งได้รับการติดต่อจากชายไม่ทราบชื่อ ที่ไม่ยอมบอกว่าตนเองเป็นใครมาจากไหน และได้ขอนัดนักข่าวไปพูดคุยเป็นการส่วนตัวเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวที่อาศัยอยู่บนโลก ซึ่งการพูดคุยครั้งนี้ ชายคนดังกล่าวไม่ขอเปิดเผยชื่อ ห้ามบอกรูปลักษณ์ภายนอกของเขา และไม่ยินยอมให้อัดวีดีโอและอัดเสียงเพื่อบันทึกการสนทนาใดๆ ทั้งสิ้น

หลังจากได้พูดคุยกัน ชายคนดังกล่าว ซึ่งทางสำนักข่าวได้อ้างว่าเป็น “แหล่งข่าวระดับสูง” เคยทำงานอยู่ในแอเรีย 51 แต่ไม่ยอมบอกว่าทำตำแหน่งหน้าที่อะไร ได้เปิดเผยถึงข้อมูลที่ชาวโลกทุกคนสงสัย โดยมีข้อมูลที่สำคัญที่สรุปเอาไว้ได้ทั้งหมด 10 เรื่องดังนี้




แอเรีย 51


1. มนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริง และอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์เรามานานกว่า 80 ปี
2. มนุษย์ไม่ได้เป็นผู้ค้นพบพวกเขา แต่พวกเขาติดต่อเรามาเอง
3. ช่วงเวลาที่ติดต่อมาคือ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือปี ค.ศ. 1946
4. หน้าตาของมนุษย์ต่างดาวเหมือนกับคนปกติ !! โดยพวกเขาอ้างว่า จริงๆ แล้วรูปลักษณ์ภายนอกปกติของพวกเขาไม่ได้เป็นแบบคนทั่วไป แต่เขามีวิธีการทำให้ตัวเองมีรูปลักษณ์แบบคนทั่วไปได้ (ข้อมูลตรงนี้ค่อนข้างเหลือเชื่อและขัดกับสิ่งที่เราเข้าใจมาโดยตลอดว่ามนุษย์ต่างดาวจะต้องตัวเล็ก หัวโต มีตาใหญ่ๆ เหมือนเอเลี่ยน)
5. พวกเขาติดต่อผ่านนายทหารระดับสูงของอเมริกาท่านหนึ่ง และหลังจากนั้นนายทหารท่านนั้นก็พาไปพบกับประธานาธิปดีสหรัฐในขณะนั้น (แฟรงคลิน ดี รูสเวลท์)




ภาพมนุษย์ต่างดาวจับมือกับนายทหารท่านหนึ่ง ไม่ทราบแหล่งที่มา แต่คาดเดาว่าไม่ใช่ภาพเหตุการณ์ที่ชายดังกล่าวพูดถึง

6. ประเด็นที่เข้าพบคือเรื่องของสันติภาพของโลกในอนาคต สาเหตุจากสงครามโลกครั้งที่ 2 (ประเด็นการคุยเรื่องสันติภาจบแค่นี้ เพราะแหล่งข่าวไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า มนุษย์ต่างดาวมาเพื่อให้คำแนะนำหรือมาเพื่อบอกอะไรเราอีก)
7. จริงๆ แล้วมนุษย์ต่างดาวยังมีอีกหลายเผ่าพันธุ์ แต่พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ใกล้กับโลกมากที่สุดและมีสิ่งแวดล้อม แรงดึงดูด เวลาโคจรของดวงดาวใกล้เคียงกันมากที่สุด ส่วนเผ่าพันธุ์อื่นจะอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจะโลกค่อนข้างมากและอยู่ไกลเกินกว่าจะมาถึงโลกได้บ่อยๆ แต่ก็มีแวะเวียนมาบ้าง
8. ส่วนเผ่าพันธุ์ของพวกเขาเพิ่งย้ายมาอยู่บนโลกมนุษย์อย่างเป็นทางการเมื่อ 10 มาแล้ว (10 ปีก่อนปี ค.ศ. 1946 ก็คือปี ค.ศ 1936)
9. พวกเขาย้ายมาอยู่บนมนุษย์โลกหลายสิบชีวิต แต่ละชีวิตกระจัดกระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆ บนโลก เป็นชนกลุ่มแรกของดาวเขาที่ทดลองย้ายเข้ามาอยู่เพื่อเรียนรู้และทดลองการใช้ชีวิต (นักวิทยาศาสตร์ในแอเรีย 51 และทีมงานหลายคนคาดเดาว่า อาจเป็นเพราะดาวของพวกเขาประสบปัญหาบางอย่าง และต้องการหาที่อยู่ใหม่)
10. พวกเขาเป็นมิตรกับมนุษย์แน่นอน หลังจากสงครามโลก จนถึงปัจจุบัน (2014) พวกเขาติดต่อกับพวกเรามาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ส่วนใหญ่เป็นในการศึกษาและเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ และปัจจุบันก็มีพวกเขากว่า 100 ชีวิตอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ




หรือพวกเขาจะมีลักษณะแบบนี้ ? คงไม่ใช่นะ

สำหรับข้อมูลการให้สัมภาษณ์ก็ถูกสรุปไว้เพียงคร่าวๆ เท่านี้ ส่วนคำถามสุดท้ายที่นักข่าวถามกับแหล่งข่าวไปก็คือ “ทำไมคุณถึงมาบอกข้อมูลนี้กับผม?” แหล่งข่าวบอกสั้นๆ แต่เพียงว่า “ถือว่าเป็นของขวัญวันคริสมาสต์สำหรับผมก็แล้วกัน ผมว่ามันถึงเวลาที่ทุกคนควรได้รู้ความจริงเสียที เพราะอีกไม่นานทุกคนก็จะต้องรู้ความจริงนี้อยู่แล้ว และที่สำคัญ ตอนนี้ผมไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกับที่นั่นอีกแล้ว” ชายคนดังกล่าวได้ทิ้งปริศนาเอาไว้

ซึ่งหลังจากที่ข้อมูลดังกล่าวถูกเผยแพร่ลงในเว็บไซต์เพียงไม่ถึง 2 วัน ก็ได้ถูกลบทิ้งไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมีคำชี้แจงสั้นๆ ว่าเป็นการเข้าใจผิดของสำนักพิมพ์และต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า จริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ หรือว่ามันเป็นเรื่องจริงที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการปกปิดเอาไว้หรือไม่ ? แล้วคุณล่ะ อาจแล้วเชื่อหรือไม่ว่า มนุษย์ต่างดาวมีจริงและอาศัยอยู่บนโลกใบนี้กับเราด้วย !

10 ข้อควรรู้ของกลุ่ม "ISIS"

10 ข้อควรรู้ของกลุ่ม "ISIS"


ที่มา : ToptenThailand
ISIS ชื่อของกลุ่มก่อการร้ายที่่ถือว่าดังที่สุดในปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน เพราะเรายังได้เห็นข่าวคราวความโหดร้ายของกลุ่มคนพวกนี้อยู่ไม่เว้นวัน วันนี้ทางทีมงาน Toptenthailand จึงได้นำเอา 10 ข้อควรรู้ของกลุม ISIS นี้มาให้ทุกคนได้อ่านกัน เผื่อจะได้รู้จักและเข้าใจมากขึ้น
10. กลุ่ม IS คือใคร?
ISIS หรือ "The Islamic State in Iraq and al-Sham" แปลว่า "รัฐอิสลามในอิรักและอัล-ชาม (ซีเรีย)" คือกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งประกาศจัดตั้งรัฐที่ยังไม่มีใครรับรอง โดยรวมดินแดนบางส่วนในอิรักและซีเรียเอาไว้ โดยมีเป้าหมายคือ การจัดตั้งรัฐอิสลาม โดยรวมดินแดนในเลแวนท์ ซึ่งนอกจากซีเรียแล้ว ยังรวมถึงเลบานอน อิสราเอล ปาเลสไตน์ จอร์แดน ไซปรัส และภาคใต้ของตุรกีไว้ด้วยกัน

ขอบคุณภาพจาก http://www.christiantoday.com/article/
9. มีกองกำลังมากอย่างไม่น่าเชื่อ!!
นิตยสารดิ อีโคโนมิสต์ รายงานว่ากลุ่ม ISIS มีกองกำลังมากกว่า 6,000 คนในอิรัก และ 3,000-5,000 คนในซีเรีย ซึ่งรวมถึงกองกำลังต่างชาติหรือนักรบมูญาฮีดดีนนานาชาติอีกกว่า 3,000 คน ในจำนวนนี้กว่า 1,000 คนมาจากเชชเนีย และราว 500 คน มาจากชาติตะวันตกเช่นฝรั่งเศสและอังกฤษ มีรายงานว่ากลุ่ม ISIS ยังมีทหารกองหนุนซึ่งเป็นชาวบ้าน อีกกว่า 15,000 คน ซึ่งมากกว่าที่เราคิดกันไว้มากทีเดียว

ขอบคุณภาพจาก http://www.ctvnews.ca/world/
8. กลุ่ม ISIS เป็นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเพียงกลุ่มเดียวในอิรักหรอ?
แน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงกลุ่ม ISIS กลุ่มเดียวเท่านั้น ซึ่งกลุ่มต่อต้านที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดนอกเหนือจากกลุ่ม ISIS คือกลุ่ม "ริญาล อัล-ตอริก อัล-นัคชฺบานดี" (JRTN) กลุ่มนี้เป็นกลุ่มติดอาวุธนิกายซุนนีที่มีอุดมการณ์ชาตินิยม ต้องการ ยึดอำนาจคืนจากกลุ่มชีอะฮ์ เพื่อรื้อฟื้นระบอบเผด็จการซุนนีดังสมัยซัดดัม ฮุสเซ็น ต่างจากกลุ่ม ISIS ซึ่งมีอุดมการณ์ เน้นหนักไปทางศาสนา และต้องการตั้งรัฐอิสลามเพื่อรวมชาวซุนนีในอิรักและประเทศรอบๆ

ขอบคุณภาพจาก http://nypost.com/2014/01/09/
7. พวกเค้าได้เงินทุนมาจากไหน?
กลุ่ม ISIS สามารถหางบประมาณของตนเอง จากการส่งออกน้ำมัน (จากบ่อน้ำมันที่ยึดครอง) ขายไฟฟ้า (ให้กับรัฐบาลซีเรียซึ่งเป็นศัตรู) เรียกเก็บภาษีในพื้นที่ยึดครอง และยึดแหล่งเงินในคลังของรัฐบาล ซึ่งในปีที่ผ่านมาสามารถยึดเงินและ ทองคำ จากตู้นิรภัยของทางรัฐบาลได้ถึง 14,000 ล้านบาท!! และยังได้รับการสนับสนุนทางด้านงบประมาณและอาวุธจากประเทศซาอุดิอาระเบียและกาตาร์ จึงไม่สงสัยเลยว่าทำไมกลุ่มนี้ ถึงเป็นกลุ่มก่อการร้าย ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก!!

ขอบคุณภาพจาก http://www.ibtimes.com/
6. ทำไมกองทัพอิรักถึงสู้ไม่ได้!!
คงจำกันได้ว่าในปีที่ผ่านมา ISIS ได้เข้ายึดเมืองโมซุล (เมืองใหญ่อันดับสองของอิรัก) ได้สำเร็จ ถึงแม้จะมีกองกำลังไปบุกเพียงแค่ 800 คน ส่วนทหารอิรักมีมากถึง 30,000 นาย แต่สุดท้ายฝ่ายทหารก็ต้องทิ้งอาวุธและหนีไป นั่นเป็นเพราะทหารอิรักเองก็ไม่ได้ต้องการสู้และตายเพื่อรัฐบาล และยังเกี่ยวกับเรื่องของศาสนาที่ทำให้ในหมู่ทหารเกิดความแตกแยกนั่นเอง

ขอบคุณภาพจาก http://www.israelislamandendtimes.com/
5. ใครยื่นมือช่วย ISIS บ้าง?
รัฐบาลอิรักได้กล่าวหาประเทศซาอุดิอาระเบียและกาตาร์ว่า เป็นผู้สนับสนุนหลักด้านงบประมาณ แต่ทั้งสองชาติก็ออกมาปฏิเสธ และยังมีการจับตามองไปยังตุรกี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในฐานะประเทศหน้าด่าน ที่เป็นทางผ่านให้บรรดานักรบมูญาฮีดีนทั้งของกลุ่ม ISIS และกลุ่มอื่นๆเดินทางเข้าไปสู้รบในประเทศซีเรีย ทั้งยังให้งบประมาณ อาวุธ และที่พักพิงของนักรบที่บาดเจ็บอีกด้วย

ขอบคุณภาพจาก http://osnetdaily.com/
4. ญี่ปุ่นเกี่ยวอะไร?
โดยเหตุการณ์ตัดคอตัวประกันชาวญี่ปุ่นสุดโหดนี้ เกิดขึ้นในระหว่างที่นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เยือนตะวันออกกลางและประกาศจะให้เงิน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่ประเทศต่างๆ ที่จะทำสงครามถล่มกลุ่มไอเอส โดยย้ำว่าไม่ใช่เงินช่วยเหลือทางทหารแต่เป็นเงินช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม มุ่งเน้นช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวอิรักและซีเรียเป็นหลัก ซึ่งการกระทำนี้ทำให้กลุ่ม ISIS เกิดความโกรธแค้นและอาศัยตัวประกันญี่ปุ่นมาเป็นเครื่องมือในการเรียกค่าไถ่นั่นเอง

ขอบคุณภาพจาก http://nightterrornews.com
3. คลิปขู่ฆ่าตัดหัว “โอบาม่า”
ในคลิปหนึ่งที่ได้ปล่อยออกมา ซึ่งเป็นภาพนักรบญีฮัดของกลุ่ม ISIS ได้พูดขู่ไปยังประธานาธิบดีโอบามา ว่า ISIS จะบุกสหรัฐ และจะเข้าไปตัดศีรษะของเขาถึงในทำเนียบขาว และทำให้สหรัฐกลายเป็นจังหวัดหนึ่งของอาณาจักรมุสลิม จากนั้นได้ลงมือตัดศีรษะของทหารเคิร์ดผู้เคราะห์ร้ายที่นั่นอยู่ตรงนั้นอย่างไร้ความปราณี...หลังจากที่ได้ถอดคำพูดทั้งหมดทำให้รู้ว่า ISIS ได้ขู่ถึงฝรั่งเศส เบลเยียม และนายมาซุด บาราซานี่ ผู้นำชาวเคิร์ดในอิรักด้วยว่า จะไปตัดศีรษะเขาและโยนลงในถังขยะแห่งประวัติศาสตร์!!

ขอบคุณภาพจาก http://www.mirror.co.uk/news
2. คลิปเผาตัวประกันล่าสุด!!
กลุ่ม ISIS ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอเมื่อวันอังคาร แสดงให้เห็น ร้อยโทมาอัซ อัล-คัสซัสเบห์ นักบินจอร์แดน ที่ถูกจับได้เมื่อเดือนธันวาคมถูกเผาทั้งเป็นอยู่ในกรงเหล็ก นับเป็นการสังหารตัวประกันต่างชาติ อย่างโหดเหี้ยมที่สุดที่กลุ่ม ISIS เคยทำมา ทำเอาทางจอร์แดนทนไม่ไหวต้องออกมาประกาศประหารมือระเบิดพลีชีพหญิงที่ทาง ISIS ต้องการตัว!!

ขอบคุณภาพจาก http://nypost.com/
1. นางอัล-ริสชอวี คือใคร?
เอ่ยชื่อมาทุกคนคงจะงงว่า เธอคือใคร แต่ถ้าบอกว่าเธอคือมือระเบิดพลีชีพหญิงที่ ISIS ต้องการให้ปล่อยตัว ทุกคนคงร้องอ๋อ...เมื่อปี 2548 หลังจากสารภาพผ่านทางโทรทัศน์ของจอร์แดนว่า เธอพยายามจะกดระเบิดตัวเองพร้อมกับสามี ซึ่งต่างก็เป็นสมาชิกอัล ไกดา ในระหว่างปฏิบัติการในกรุงอัมมาน ของจอร์แดน เข็มขัดระเบิดของเธอดันไม่ทำงาน ทำให้เธอโจมตีโรงแรมราดิสสันไม่สำเร็จ และถูกจับในที่สุด ซึ่งหลังจากที่ ISIS เผานักบินจอร์แดนทั้งเป็น ทำให้ทางจอร์แดนตัดสินใจประหารเธอเพื่อเอาคืน ISIS เป็นที่เรียบร้อย

ขอบคุณภาพจาก http://www.nytimes.com/

10 สถานที่ "ล่า ท้า ผี" ในไทยที่ไปแล้วเจอดีแน่!!

10 สถานที่ "ล่า ท้า ผี" ในไทยที่ไปแล้วเจอดีแน่!!

ที่มา : http://amazingthaisea.com/
ถ้าพูดถึงเรื่องผีๆแล้ว คงมีหลายคนที่ยังอยากเจอ อยากไปลองดีด้วยตัวเอง เพื่อจะได้ตอบคำถามได้ว่า "ผีมีจริงรึเปล่า" วันนี้ทางทีมงาน Toptenthailand จึงได้รวบรวมเอา 10 สถานที่ผีเฮี้ยนมาให้ทุกคนได้ทราบกัน เผื่อใครกลัวก็อย่าได้ผ่านไปเเถวนั้น แต่ถ้าใครอยากลองดีก็ไปได้ รับรอง...เจอแน่ๆ!!10. วัดมหาบุศย์ พระโขนง
ทุกคนคงจะรู้จักตำนานแม่นาคและพี่มากกันดี และที่วัดมหาบุศย์แห่งนี้ยังมีศาลของย่านาคตั้งอยู่ โดยในอดีตหลังจากที่แม่นาคเสียชีวิตลง วิญญาณก็ยังคงคอยตามหลอกหลอนชาวบ้านไม่เว้นวัน บางทีก็เห็นคนยืนอยู่หน้าบ้าน เสียร้องเพลงปริศนาและอะไรอีกเยอะ จนสุดท้ายที่พระอาจารย์โตมาปลดปล่อยวิญญาณให้ไปผุดไปเกิดแล้ว ที่แห่งนี้ยังคงความขลัง และกลิ่นอายของความน่ากลัวอยู่เสมอ

ขอบคุณภาพจาก http://board.trekkingthai.com/
9. บ้านผีสิงซอยรอดอนันต์ 1 ถ.สุขาภิบาล 1
บ้านร้างที่ถูกปล่อยรกจนเต็มไปด้วยต้นไม้ เชื่อกันว่ามีวิญญาณของยายแก่ที่เคยอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ และไม่ยอมไปผุดไปเกิดอยู่ คอยตามหลอกหลอนลูกหลานจนต้องหนีเตลิด ต้องย้ายออกไปหาที่อยู่ใหม่ ปล่อยให้บ้านโทรมลงเรื่อยๆ คนแถวนั้นกล่าวกันว่าผียายแก่เฮี้ยนมาก เมื่อมีคนผ่านมาดึกๆจะเห็นยายแก่ยืนชี้หน้าออกมาจากภายในบ้าน เหมือนสั่งว่าห้ามมาใกล้บ้านนี้ และยิ่งใครที่เข้าไปลองดีล่ะก็ จะได้ยินเสียงคนแก่ขู่ตะคอกออกมาจนวิ่งหนีกันแทบไม่ทัน

ขอบคุณภาพจาก https://www.youtube.com/watch?v=X7MXYXJyriU
8. บ้านร้างผีสิงไฟไหม้ คลอง 13
บ้านหลังนี้ห่างออกมาจากถนนเข้าไปถึงเกือบสองกิโลเมตร ซึ่งถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหลัง แต่ยังคงเหลือส่วนตัวบ้านให้เห็นอยู่ ชาวบ้านแถวนั้นเล่าว่า เจ้าของบ้านผู้หญิงถูกไฟครอกตายในบ้านจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก แถมวิญญาณของเธอยังเฮี้ยนถึงขั้นที่ว่าส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาตอนกลางคืน ดีไม่ดีก็ออกมาแสดงตัวอยู่ในบริเวณบ้าน ด้วยสภาพเหมือนคนโดนไฟไหม้ ดำไปทั้งตัว!!

ขอบคุณภาพจาก http://puiiiimage.thaimultiply.com/photos/127642/waiting-for-u-
7. วัดปราสาท จ.นนทบุรี
เป็นวัดเก่าแก่โบราณ สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง เคยขุดพบกำแพงเมืองรอบอุโบสถอายุ 300 ปี ด้านหลังอุโบสถ มีคุ้มเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมว่ากันว่าเจ้าของสถานที่คือ พระนางอุษาวดีเทวี ชาวบ้านละแวกนั้นเรียกว่า “แม่” หรือ “เจ้าแม่” เวลากลางคืนจะมีบรรยากาศวังเวงน่ากลัวมาก จะรู้สึกเหมือนมีคนมองตามอยู่ตลอด และถ้าใครไปแสดงกิริยาไม่สุภาพ พูดจาหยาบคาย ไม่เคารพเจ้าของสถานที่ มักจะพบกับเหตุการณ์แปลกๆน่าขนหัวลุก บางรายถึงกับต้องกลับมาขอขมาเลยทีเดียว

ขอบคุณภาพจาก http://www.oknation.net/blog/phaen/
6. บ้านร้างสาวใช้ปริศนา (ซอยรามคำแหง 32)
คนแถวนั้นกล่าวว่าเจ้าของบ้านเดิมทีเป็นฝรั่ง ซึ่งจ้างสาวใช้ไม่ทราบสัญชาติอยู่ในบ้าน วันหนึ่งคนร้ายได้เข้ามาปล้นบ้าน และรุมทำร้ายเธอจนตายคาที่ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผู้คนที่ผ่านไปแถวบ้านนั้นได้ยินเสียงผู้หญิงหวีดร้องขอความช่วยเหลืออยู่บ่อยๆ บ้างก็เห็นว่ามีผู้หญิงอยู่ในบ้าน เห็นเงาคนยืนมองออกนอกหน้าต่าง ทั้งๆ ที่บ้านหลังนั้นไม่มีใครอยู่แล้ว!!

ขอบคุณภาพจาก http://www.creditonhand.com
5. โรงงานร้างในซอยมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
เป็นโรงงานเก่าซึ่งแต่ก่อนเป็นโรงกลึงและโรงงานผลิตปากกาขนาดใหญ่ สาเหตุที่โรงงานแห่งนี้กลายเป็นโรงงานร้างก็เพราะว่า มีพนักงานหลายรายเสียชีวิตจากอุบติเหตุระหว่างปฏิบัติงาน บางคนเชื่อว่าเจ้าที่แรง จนไม่มีใครอยากจะซื้อที่ต่อหากใครได้เข้ามายังโรงงานร้างแห่งนี้จะรู้สึกเหมือนมีความเย็นปกคลุมอยู่รอบบริเวณ เดินอยู่ดีๆ อาจจะได้ยินเสียฝีเท้าเพิ่มขึ้น!! แถมยังล่ำลือกันว่าหากเคาะแท้งน้ำของโรงงาน 3 ใบ 3 ครั้ง จะมีเจ้าที่ออกมาปรากฏตัวให้เห็น

ขอบคุณภาพจาก http://www.oknation.net/blog/
4. หมู่บ้านผีสิงซอยวัชรพล
ด้วยความที่ที่ดินตรงนี้เป็นป่าช้ามาก่อน และเจ้าของโครงการไม่ทำพิธีขอขมาเจ้าที่เจ้าทางก่อนเริ่มโครงการ จึงต้องพบกับอุปสรรคต่างๆ ในการก่อสร้างหมู่บ้านหลังนี้ ทั้งคนงานประสบอุบัติเหตุประหลาดต้องเสียชีวิตไปหลายคน เด็กตกไปตายในบึงของหมูบ้าน 2-3 คน ทำให้ต้องยุติโครงการ และกลายมาเป็นหมู่บ้านร้างกลางกรุงในที่สุด พร้อมกันนั้นก็มีเสียงเล่าลือว่า ผู้ที่เข้าไปในเขตหมู่บ้านยามวิกาล มักจะพบวิญญาณแสดงตัวหลอกหลอน ทั้งผีเด็ก ผีผู้ใหญ่นี่มากันตรึม!!

ขอบคุณภาพจาก http://www.clipmass.com/story/
3. บ้านผียายสรวง จ.อยุธยา
หญิงชราเจ้าของบ้านที่คนแถวนั้นเรียกว่า “ยายสรวง” ได้เสียชีวิตลงภายในบ้าน และสั่งลูกหลานว่าให้ตั้งโลงศพของแกไว้ในบ้าน เพราะแกรักบ้านหลังนี้มาก แต่ด้วยความที่แกรักมากแกเลยยังไม่ไปไหน วนเวียนอยู่ในบ้านจนลูกหลานอยู่กันไม่ได้ ต้องทิ้งโลงศพอยู่อย่างนั้น วันดีคืนดี บ้านแถวๆนั้นก็ได้ยินเสียงคนตำหมากบ้าง คนแก่พูด คนแก่หัวเราะ ออกมาจากบ้านหลังนั้นเสมอ

ขอบคุณภาพจาก http://icyjuicybackpacker.blogspot.com/
2. สุสานไร้ญาติ จ.ชลบุรี
คงไม่ต้องบอกว่าสุสานเป็นที่อยู่ของวิญญาณจำนวนมาก แล้วยิ่งศพไร้ญาติยิ่งแล้ว ที่ฝังศพไว้เป็นพันๆศพ บางศพก็ตายดี บางศพก็เต็มไปด้วยความแค้น!! หลายคนเล่ากันว่าเป็น ฮวงซุ้ยมีคนพบเห็นผู้คนเดินเผ่นผ่านเต็มไปหมดในสุสานแห่งนี้ ทั้งๆที่ดึกๆแบบนั้นคงไม่มีใครอยากไปเดินในนั้นนักหรอก...ซึ่งก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคน เอ๊ย!!วิญญาณพวกนั้นมาจากไหน

ขอบคุณภาพจาก http://www.onschannel.com/
1. อู่รถเมล์เก่า ณ ซอยสายหยุด
สถานที่แห่งนี้ถูกใช้เป็นจุดทิ้งรถประจำทาง รถโดยสารต่างๆ ที่ถูกชนหรือประสบอุบัติเหตุจนไม่สามารถใช้งานต่อได้ ซึ่งรถที่ถูกเอามาทิ้งแต่ละคัน ก็ต่างเจอประสบอุบัติเหตุขั้นรุนแรงมาทั้งนั้น และแน่นอนว่าส่วนใหญ่มักจะมีคนตายด้วย!! ซึ่งแท็กซี่บางรายที่ขับผ่านแถวนั้นบอกเหมือนๆกันว่า พบเห็นคนมาโบกรถอยู่หน้าอู่ พอไปรับก็หายตัวไปซะดื้อๆ บางทีมีคนวิ่งตัดหน้ารถจนเกือบประสบอุบัติเหตุ แต่พอลงไปดูกลับไม่เห็นใคร แถมยังมีคนพบว่าไฟของรถในสุสานนั้นเปิดๆปิดๆเองอีกด้วย บางครั้งถึงขั้นเห็นคน สภาพเสื้อผ้าขาด มีเลือดเต็มตัว เดินไปขึ้นรถพังๆ ก็มี!!

ขอบคุณภาพจาก http://www.painaidii.com/diary/diary-detail/001650/lang/th

10 อันดับ รถที่เร็วที่สุดในโลก ปี 58

10 อันดับ รถที่เร็วที่สุดในโลก ปี 58

ที่มา : http://car.kapook.com/view110726.html
ถ้าใครรักความเร็วแล้วล่ะก็ เรื่องของซุปเปอร์คาร์ต้องมาเป็นอันดับ 1 เลยทีเดียว เพราะนอกจากจะเร็ว แรง แล้วดีไซน์ยังสวยงาม แปลกตาไม่เหมือนรถทั่วไปตามท้องตลาด วันนี้ทางทีมงาน Toptenthailand จึงได้นำเอา 10 อันดับรถที่เร็วที่สุดในโลกปี 2558 มาให้ทุกคนได้ยลโฉมกันอันดับ 10 Gumpert Apollo
เปิดด้วยซูเปอร์คาร์จากประเทศเยอรมนี กัมเพิร์ต อพอลโล่ (Gumpert Apollo) ซึ่งแม้จะหยุดการผลิตไปตั้งแต่ปี 2012 แต่ความเร็วของมันยังคงอยู่ในระดับที่สูงจนต้องมาติด 1 ใน 10 อันดับกับเค้าด้วย เครื่องยนต์ V8 ขนาด 4,200 ซีซี ให้กำลัง 650 แรงม้า ทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 3 วินาที พร้อมความเร็วสูงสุด 362 กม./ชม. ส่วนราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 450,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 14 ล้านบาท)

ขอบคุณภาพจาก http://www.3dtuning.com/en-US/tuning/gumpert/apollo/sedan.2005
อันดับ 9 Pagani Huayra
พากานิ ไวร่า (Pagani Hauyra) รถสปอร์ตที่นำชื่อของเทพเจ้าแห่งสายลมของชาวอินคามาใช้ และรถคันนี้ก็แรงสมกับเป็นเทพเจ้าจริงๆ ด้วยเครื่องยนต์ V12 ทวินเทอร์โบ ขนาด 6,000 ซีซี จากเมอร์เซเดส เอเอ็มจี (Mercedes AMG) ให้กำลัง 720 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 3 วินาที และมีความเร็วสูงสุดอยู่ที 370 กม./ชม. ด้านราคาเริ่มต้นนั้นอยู่ที่ 849,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 27 ล้านบาท)

ขอบคุณภาพจาก http://autosreleased.com/2015-pagani-huayra-price-interior-release-date/new-2015-pagani-huayra/
อันดับ 8 Zenvo ST1
ซูเปอร์คาร์รุ่นแรกของค่ายรถยนต์สปอร์ตจากประเทศเดนมาร์ก เซนโว เอสที1 (Zenvo ST1) ที่มาพร้อมกับรูปลักษณ์ดุดัน ที่ผลิตออกมาเพียง 15 คันเท่านั้น!! ใช้เครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ ขนาด 7,000 ซีซี ให้กำลัง 1,104 แรงม้า ทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 2.9 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 374 กม./ชม. ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1.225 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 39 ล้านบาท)

ขอบคุณภาพจาก http://www.mycarheaven.com/2011/02/darth-vader-would-drive-this-the-zenvo-st1/
อันดับ 7 McLaren F1
ซูเปอร์คาร์จากยุค 90 ที่ยังคงความแรงเสมอต้นเสมอปลาย ด้วยเครื่องยนต์ V12 รุ่น จากบีเอ็มดับเบิลยู (BMW) ดัดแปลงให้แรงสะใจถึง 627 แรงม้า ทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.2 วินาที มีความเร็วสูงสุดที่ 386 กม./ชม. ด้านราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 970,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 31 ล้านบาท) แต่ปัจจุบันราคาก็น่าจะบวกสูงขึ้นกว่านี้เยอะมากทีเดียว เพราะมันไม่ได้หากันง่ายๆแล้ว

ขอบคุณภาพจาก http://car.loginlike.com
อันดับ 6 Koenigsegg CCX
ผู้ผลิตซูเปอร์คาร์หน้าใหม่จากสวีเดนแต่ ผลงานกลับแจ๋วกว่าที่คิด โดยเฉพาะเจ้าโคนิกเซกก์ ซีซีเอ็กซ์ (Koenigsegg CCX) ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4,700 ซีซี กำลัง 806 แรงม้า ทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.2 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 394 กม./ชม. ส่วนราคาเริ่มต้นนั้นต่ำกว่ารถในระดับเดียวกับพอสมควรที่ 545,568 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 17 ล้านบาท)

ขอบคุณภาพจาก http://funny-pictures.picphotos.net/koenigsegg-ccx-fastest-cars-1024x576-jpg/
อันดับ 5 Saleen S7 Twin-Turbo
ตอนแรกก็เป็นเพียงแค่อู่แต่งรถชื่อดัง ที่ไปๆมาๆ ก็อยากจะมีรถซูเปอร์คาร์เป็นของตัวเองบ้าง ในช่วงปี 2000-2004 จึงได้ผลิตออกมาในชื่อ ซาลีน เอส7 ทวินเทอร์โบ (Saleen S7 Twin-Turbo) ใช้เครื่องยนต์อะลูมิเนียม V8 ขนาด 7,000 ซีซี พ่วงทวินเทอร์โบ ให้กำลังแรงสะใจ 750 แรงม้า ทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 2.8 วินาที ความเร็วสูงสุดนั้นทำได้มากถึง 399 กม./ชม. ส่วนราคาเริ่มต้นที่ 585,296 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 19 ล้านบาท)

ขอบคุณภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Saleen_S7
อันดับ 4 9ff GT9-R
ผลงานของสำนักแต่งรถจากประเทศเยอรมนี ซึ่งนำรถสปอร์ตระดับตำนานอย่างปอร์เช่ 911 (Porsche 911) มาดัดแปลงจนทำความเร็วได้มากถึง 413 กม./ชม. ด้วยเครื่องยนต์ Boxer6 สูบ ขนาด 4,000 ซีซี ทวินเทอร์โบ ที่ดัดแปลงจากเดิมจนมีกำลังมากถึง 1,120 แรงม้า ส่วนราคาจำหน่ายของมันนั้นถือว่าสมน้ำสมเนื้อ โดยเริ่มต้นที่ 695,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 22 ล้านบาท)

ขอบคุณภาพจาก http://www.extravaganzi.com/porsche-9ff-gt9-r-seriously-addicted-to-speed/
อันดับ 3 SSC Ultimate Aero
ซูเปอร์คาร์จากสหรัฐฯ เจ้าของความเร็ว 414 กม./ชม. ที่ถึงขนาดเคยได้รับการบันทึกลงในกินเนสส์บุ๊ก ปี 2007-2010!! โดยใช้เครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ V8 ขนาด 6,900 ซีซี ให้กำลังแรงสะใจถึง 1,287 แรงม้า ราคาเริ่มต้น 654,400 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 21 ล้านบาท)

ขอบคุณภาพจาก http://www.checkraka.com/
อันดับ 2 Bugatti Veyron Super Sport
คนรักรถทั้งหลายคงจะรู้ดีว่ามันคือรถยนต์ที่เคยเร็วที่สุดในโลกด้วยสถิติความเร็ว 431 กม./ชม.!! ใช้เครื่องยนต์ W16 ขนาด 8,000 ซีซี ให้กำลัง 1,200 แรงม้า ทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 2.4 วินาที ส่วนราคาของมันนับว่าสมกับความเร็วและเทคโนโลยีที่ใช้ โดยเริ่มที่ 1.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 55 ล้านบาท) ซึ่งล่าสุดทางบูกัตติก็ได้เตรียมเผยรถต้นแบบที่จะมาท้าชิงตำแหน่งเจ้าความเร็วอันดับ 1 ไว้แล้วด้วย

ขอบคุณภาพจาก http://www.motorauthority.com/news/1046821_bugatti-veyron-super-sport-sets-268-mph-top-speed-record
อันดับ 1 Hennessey Venom GT
กลายมาเป็นรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลกอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ เฮนเนสซี เวนอม จีที (Hennessey Venom GT) ซูเปอร์คาร์ของสหรัฐฯ ที่ดัดแปลงจากโลตัส เอ็กซีก (Lotus Exige) ได้ทำความเร็วสูงถึง 435 กม./ชม. เมื่อต้นปี 2014 ที่ผ่านมา และในปัจจุบันก็ยังไม่มีใครโค่นแชมป์จากมันได้เลย เฮนเนสซี เวนอม จีที ใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาด 7,000 ซีซี ทวินเทอร์โบ ให้กำลัง 1,244 แรงม้า ทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 2.5 วินาที และมีราคาเริ่มต้น 1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 32 ล้านบาท) 

10 เรื่องแปลกชวนตะลึงของ “วันวาเลนไทน์”

10 เรื่องแปลกชวนตะลึงของ “วันวาเลนไทน์”

พอถึงเดือนกุมภาพันธ์เราเชื่อว่าหลายคนคงตั้งตารอวันที่ 14 ของเดือน เพราะมันคือ "วันวาเลนไทน์" หรือวันแห่งความรักนั่นเอง ดังนั้นใครที่กำลังมีรักก็ต้องเตรียมของ เตรียมเซอร์ไพรซ์ไว้ให้คนรู้ใจ ส่วนคนโสดก็รอไปเถอะว่าจะมีใครมาบอกรักรึเปล่า...วันนี้ทางทีมงาน Toptenthailand เลยได้เอา 10 เรื่องแปลกของวันวาเลนไทน์นี้มาฝากกัน
10. วันแห่งการ์ด
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะ ว่าเทศกาลนี้ทำเอาร้านขายการ์ดขายดีกันถ้วนหน้า เพราะมีการ์ดมากกว่า 140 ล้านใบ ส่งหากันในแต่ละปี!! จึงทำให้วันแห่งความรักนี้เป็นเทศกาลที่มีคนส่งการ์ดหากันมากเป็นอันดับ 2 ซึ่งคนอเมริกันมากกว่าครึ่งจะฉลองวันวาเลนไทน์ด้วยการซื้อการ์ดในคนรักมากกว่าซื้อของอีกนะ..ก็แหม มันถูกกว่านี่เนาะ

ขอบคุณภาพจาก http://www.serenataflowers.com/pollennation/
9. จดหมายถึงจูเลียต..
ทุกคนคงจะรู้จักโรมิโอกับจูเลียตกันอยู่แล้ว แต่ใครจะไปเชื่อว่าวันวาเลนไทน์เนี่ยจะมีคนเขียนจดหมายไปหาจูเลียตทุกปี ปีละหลายพันฉบับ!! ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการปรึกษาเรื่องความรัก และขอพรให้สมหวังในความรัก ทั้งๆที่ตัวจูเลียตเองเนี่ยกลับยังดูแลชีวิตรักของตัวเองไม่รอดเล้ย!!

ขอบคุณภาพจาก http://www.dogonews.com/2012/2/14/
8. วันตัดหัวของนักบุญวาเลนไทน์
ถ้าคุณคิดไว้ว่ามันต้องเป็นเรื่องหวานๆ โรแมนติกๆ แล้วล่ะก็ผิดถนัดค่ะ เพราะวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันที่เซนต์วาเลนไทน์ถูกตัดหัวนั่นเอง!! ซึ่งสาเหตุก็เป็นเพราะเค้าแอบดำเนินงานแต่งงานลับๆ ให้กับคู่รักคู่นึงในกรุงโรง ซึ่งถือเป็นการผิดกฎ เนื่องจากตอนนั้นกษัตริย์ได้ประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงานและงานหมั้นทุกงาน เลยทำให้เค้าต้องสละชีวิตตัวเองเพื่อความรัก (ของคนอื่น) นั่นเอง

ขอบคุณภาพจาก http://www.history.com/news/6-surprising-facts-about-st-valentine
7. ของขวัญวาเลนไทน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก?
เคยสงสัยมั้ยว่าใครกันที่ได้ของขวัญวาเลนไทน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกกันน๊า? ซึ่งคำตอบก็คือ พระนางมุมตัชนั่นเอง โดยของชิ้นนั้นก็คือ “ทัชมาฮาล” ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานที่แทนความรักอันเป็นนิรันดร์ของพระราชาชาห์จาฮานและพระมเหสีของพระองค์ โดยเรื่องราวความรักของทั้งคู่ก็ยังคงน่าประทับใจจนถึงทุกวันนี้

ขอบคุณภาพจาก http://2g.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/
6. วันวาเลนไทน์โดนแบน?!
พูดไปก็จะหาว่าเราโกหกว่ามีด้วยหรอประเทศที่แบนวันว่าเลนไทน์ แต่จริงๆแล้ว มีนะคะ ประเทศที่เค้ามองว่าวันแห่งความรักนี้มันกระตุ้นให้ผู้หญิง ผู้ชายเกิดความลุ่มหลงราคะ?! เลยทำให้ในปี 2002 และ 2008 ประเทศซาอุดิอาระเบีย แบนวันวาเลนไทน์จ้า

ขอบคุณภาพจาก http://nayzak.deviantart.com/art/
5. แอนตี้วาเลนไทน์!!
นอกจากจะมีประเทศที่แบนวันวันนี้แล้ว คนทั่วโลกกว่า 20% เองก็ยังแอนตี้วันวาเลนไทน์ โดยการไม่ยอมฉลอง ไม่ใส่เสื้อผ้าสีแดง สีชมพู (บางคนก็ใส่สีดำด้วยซ้ำ) ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะมาจากการถูกปฏิเสธความรัก การถูกหักหลัง หรือการไม่สมหวังในความรักนั่นเอง

ขอบคุณภาพจาก http://wishquotes.com/category/valentines-day/
4. ความเชื่อสุดแปลก
หลายประเทศในแถบยุโรปเชื่อกันว่า ในวันวาเลนไทน์ ชื่อผู้ชายที่น้องๆ ผู้หญิง ได้ยินเป็นครั้งแรกของวัน ไม่ว่าจะอ่านจากหนังสือพิมพ์ หรือได้ยินจากวิทยุ โทรทัศน์ จะเป็นชื่อของผู้ชายที่น้องจะแต่งงานด้วยในอนาคต!! ซึ่งร้อยทั้งร้อยมันเป็นแค่ความเชื่อนะจ๊ะ ถ้าเรื่องจริงนี่ ทุกคนคงตบตีแย่งผู้ชายหล่อๆกันตายเลย

ขอบคุณภาพจาก http://www.bbcamerica.com/
3. ประเทศที่มีวันแห่งความรักเยอะที่สุดในโลก?
รู้กันมั้ยว่า..ประเทศเกาหลีใต้มีวันแห่งความรักเกือบจะทุกเดือน! แต่วันแห่งความรักที่สำคัญที่สุดอยู่ในเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม และเมษายน โดยเดือนกุมภาพันธ์ ผู้หญิงจะให้ขนมหวานกับผู้ชาย ส่วนในเดือนมีนาคม ผู้ชายจะให้ของตอบแทน แต่ของขวัญนั้นจะไม่ใช่ขนมหรือช็อกโกแลต และในเดือนเมษายน จะมีวัน “Black Day” หรือ “วันสีดำ” สำหรับคนที่โสดทั้งหลาย

ขอบคุณภาพจาก http://www.japancrush.com/
2. วันกระเป๋าฉีก!!
เชื่อว่าผู้หญิงหลายคนคงหวังให้แฟนตัวเองซื้อของดีๆ เลี้ยงอาหารหรูๆ ให้ในวันแห่งความรักนี้ เลยทำให้โดยเฉลี่ยแล้วคุณผู้ชายจะเสียเงินให้กับวันวาเลนไทน์นี้กว่าคนละ 5,000 บาทเลยทีเดียว!! เลยไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเดือนกุมภาแฟนของคุณจะผอมผิดปกติ ก็เพราะไม่มีเงินจะกินข้าวแล้วไงล่ะ!!

ขอบคุณภาพจาก http://pro.ductsite.com/offers-on-valentine-gift.htm
1. สาเหตุของการฆ่าตัวตาย!!
มีผลการวิจัยออกมาว่ามีคนถึง 75% ที่พยายามจะฆ่าตัวตายในวันแห่งความรักนี้ เหตุเพราะว่าพวกเค้าไม่สมหวัง โดยปฏิเสธ และยังทำใจไม่ได้ที่คนที่ตัวเองรักไปมีคนอื่น ฉะนั้นถ้าใครคิดจะบอกเลิกกันล่ะก็...อย่าบอกวันนี้เลย เพราะนอกจากจะทำให้อีกฝ่ายเสียน้ำตาแล้ว ยังอาจจะเสียชีวิตได้เลยนะ!!

ขอบคุณภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Jumper_(suicide)