แหล่งที่มา : dek-d.com
10. ร้าน Perchè No!

อันดับ 10 ร้าน Perchè No! เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เปิดกิจการตั้งแต่ปี 1939 ภายใต้ชื่อร้านแสนเก๋ว่า Perchè No! ที่แปลว่า Why not! หรือ ทำไมจะไม่ล่ะ! ทำไอศกรีมสดใหม่แบบวันต่อวันโดยให้รสชาติของแต่ละรสแบบแน่นๆ ไม่ใช่แต่งสีแต่งกลิ่นแล้วใส่แต่นมกับน้ำตาล รสที่มีชื่อเสียงได้แก่รสน้ำผึ้ง รสงา รสขาเขียวมัทฉะ และรสกาแฟกรุบกรอบผสมช็อคโกแลต นอกจากนี้ยังมีเชอร์เบ็ตผลไม้อีกหลายประเภทสำหรับคนที่ไม่ชอบครีมหวานๆ บางวันยังมีรสพิเศษประจำวันเช่นวันจันทร์มีรสกุหลาบ รสเมล็ดสน และรสทรัยเฟิล หรือวันพฤหัสบดีมีรสชีสเค้ก มีเพียงร้านเดียวสาขาเดียว และขึ้นชื่อว่าเป็นร้านไอศกรีมงานศิลปะแห่งฟลอเรนซ์
9. ร้าน Vaffelbageriet

อันดับ 9 ร้าน Vaffelbageriet เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ร้าน Vaffelbageriet ตั้งอยู่ในสวนสนุก Tivoli Gardens เป็นร้านไอศกรีมที่สืบทอดมากว่าร้อยปี จุดเด่นของร้านนี้คือ "อเมริกาเนอร์" เป็นไอศกรีมหนึ่งที่ เสริ์ฟในวาฟเฟิลโคนขนาดยักษ์ที่จุไอศกรีมได้ถึง 4 ลูกพร้อมท็อปปิ้ง วิปครีม และเมอแรงก์เคลือบช็อคโกแลต กินอันเดียว รับรองว่าอิ่มไปทั้งวัน สวนสนุกแห่งนี้เปิดทำการตั้งแต่กลางเดือนเมษายนไปจนถึงปลายเดือนกันยายน ถ้าใครมีโอกาสอย่าลืมเล่นเครื่องเล่นให้ครบและกิน "อเมริกาเนอร์" อย่าให้เหลือ
8. A’jia Hotel

อันดับ 8 A’jia Hotel เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี โรงแรม A’jia เป็นหนึ่งในโรงแรมที่สามารถชมวิวแบบโรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งในตุรกี โดยเฉพาะร้านอาหารของโรงแรมที่มีที่นั่งกลางแจ้งริมระเบียงให้คู่รักได้ทานอาหารค่ำใต้แสงจันทร์ จากนั้นก็ตบท้ายด้วยของหวานเลื่องชื่ออย่างไอศกรีมวานิลลาทอด เชอร์เบ็ตเสาวรส และไอศกรีมพื้นเมืองตุรกี Dondurma ที่ทำจากนมแพะ แม้ร้านอาหารจะไม่ได้ให้บริการเฉพาะแขกของโรงแรมเท่านั้น แต่ลูกค้าก็เต็มตลอดเวลา ถ้าใครสนใจต้องจองล่วงหน้าหลายวันเลยละ
7. ร้าน Glacé

นดับ 7 ร้าน Glacé เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เปิดในปี 1984 ขึ้นชื่อว่าเป็นร้านที่ล้ำสมัย นำเทรนด์ไอศกรีมก่อนใครในโลก แม้จะไม่ประหลาดเท่าหลายรสในอันดับ 7 แต่รสชาติของที่นี่ก็ขึ้นชื่อที่สุดในออสเตรเลีย ร้านมีเพียงสาขาเดียวที่เดียวเท่านั้น ถ้าต้องการรสทั่วไปสามารถเข้าไปสั่งได้ทันที แต่ถ้าต้องการรสชาติที่ไม่เหมือนใครจะต้องสั่งล่วงหน้าอย่างน้อย 2 วันให้ช่างทำไอศกรีมได้หาวัตถุดิบก่อน ตัวอย่างรสแปลกๆ เช่น รสใบกระวาน รสสาหร่ายออสเตรเลีย รสช็อคโกแลตพริก รสน้ำผึ้งผสมขิง รสกลีบกุหลาบ รสลิ้นจี่ผสมมะลิ รสแชมเปญมะม่วง รสสตรอเบอร์รี่ผสมน้ำส้มสายชูราดสลัด ละอีกหลายรสที่ถึงพูดไปก็ไม่น่ามีใครรู้จัก
6. Ice Cream City

อันดับ 6 Ice Cream City เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นเมืองไอศกรีมสมชื่อ เพราะมีร้านขายไอศกรีมเป็นสิบๆ ร้าน รวมรสชาติกว่า 300 รสที่ทั้งแปลก ประหลาด น่าพิศวง และชวนสงสัยมากที่สุดในโลก ทั้งรสไก่ผสมถั่วเหลือง รสรากกล้วยไม้ รสเกลือจากเกาะกลางทะเล ไปจนถึงรสปลาไหล เอิ่ม... แต่เจลาโต้และไอศกรีมปกติทั่วไปก็มีขายเช่นกัน แต่แหม มาทั้งทีจะกินรสที่หาได้แถวบ้านทำไมกัน จะไม่ลองชิมรสงูเหลือมซักครั้งหนึ่งในชีวิตซักหน่อยหรอ Ice Cream City เป็นส่วนหนึ่งของสวนสนุก Namja Town
5. ร้าน Helados Scannapieco

อันดับ 5 ร้าน Helados Scannapieco เมืองบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนติน่า เป็นร้านเล็กๆ ดูธรรมดามากๆ จนน่าจะเดินผ่านไปแบบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ แต่ที่จริงแล้ว ร้านนี้เป็นร้านไอศกรีมที่อร่อยที่สุดในประเทศ ร้านนี้เปิดบริการเมื่อปี 1938 โดยครอบครัวชาวอิตาเลียนที่อพยพมา ว่ากันว่าจนถึงทุกวันนี้แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยนอกจากการทำให้ไม่ดูเก่าเท่านั้นเอง เพราะเจ้าของปัจจุบันก็ยังเป็นลูกหลายสายตรงที่สืบทอดกิจการและยังคงรักษาฝีมือและสูตรลับของครอบครัวเอาไว้ตลอด 80 กว่าปีมานี้ ร้านนี้มีรสชาติไอศกรีม 50 รสเช่นช็อคโกแลต วานิลลา พีช ซินนามอน แชมเปญมะนาว และค็อกเทลชนิดต่างๆ ใครที่อยากไปลองต้องศึกษาแผนที่ดีๆ และถามคนท้องถิ่นให้รู้เรื่อง เพราะร้านเล็กและธรรมดามากจนมองไม่เห็นจริงๆ
4. ร้าน Devon House

อันดับ 4 ร้าน Devon House เมืองคิงสตัน ประเทศจาไมก้า Devon House คือคฤหาสน์ของมหาเศรษฐีผิวสีคนแรกของจาไมก้า ปัจจุบันเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพราะสถาปัตยกรรมแบบคาริเบียนวิคตอเรียสมัยศตวรรษที่ 19 และสวนรอบบ้านที่ยิ่งใหญ่อลังการ นอกจากนี้หลายคนยังยอมจ่ายเงินค่าเข้าเพียงเพื่อเข้ามาทานไอศกรีมของร้านในคฤหาสน์แห่งนี้ เพราะไอศกรีมทั้ง 27 รสของที่นี่มาจากผลไม้สดๆ ทั่วเกาะจาไมก้า และยังมีรสเบียร์ที่ไม่เหมือนใครชื่อรสว่า Devon Stout ที่เป็นที่ถูกอกถูกใจผู้ชายทั่วโลก ไม่ว่าใครที่ได้มาเยี่ยมชมคฤหาสน์นี้ก็จะต้องตรงไปซื้อไอศกรีมโคนทันที ก่อนที่จะเดินถือไปกินไป ชมสวนอย่างสบายใจ เป็นทัวร์ชมโบราณสถานที่ไม่เหมือนใครจริงๆ
3. ร้าน Bombay Ice Creamery

อันดับ 3 ร้าน Bombay Ice Creamery ซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ร้านไอศกรีมสไตล์อินเดียแท้ๆ ที่ปิดตัวไปพักหนึ่ง ก่อนจะกลับมาอีกครั้งพร้อมรสชาติที่หลากหลายยิ่งขึ้น ไอศกรีมที่นี่ต่างจากรสชาติหอมหวานแบบไอศกรีมทั่วไปเพราะมีเครื่องเทศรสจัดจากอินเดียเป็นส่วนผสมหลัก ทั้งรสชาอินเดีย (Chai tea) รสกระวาน รสละมุด รสหญ้าฝรั่น รสกุหลาบและรสขิง รวมไปถึงไอศกรีมอินเดียแท้ๆ ที่เรียกว่า Kulfi หรือนมแช่แข็งและ Lassi (นมเปรี้ยวแบบอินเดีย) ก็มีขายเช่นกัน และไม่ต้องห่วงนะคะ รสธรรมดาอย่างวานิลลา ช็อคโกแลตก็มีขายเช่นกันค่ะ และเป็นแบบปกติด้วย ไม่ได้เติมเครื่องเทศลงไป
2. ร้าน Ted Drewes Frozen Custard

อันดับ 2 ร้าน Ted Drewes Frozen Custard เซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี สหรัฐอเมริกา เปิดบริการมาตั้งแต่ปี 1929 จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ไอศกรีมซะทีเดียว เพราะมันคือโฟรเซนคัสตาร์ด ที่ทำมาจากครีมสด ไข่ไก่ และน้ำตาล ซึ่งเป็นขนมหวานท้องถิ่นของชาวมิดเวสเทิร์นในสหรัฐ แต่คนต่างถิ่นทุกคนมองว่ามันคือไอศกรีมรสคัสตาร์ดนั้นเอง ปัจจุบันมีรสชาติหลากหลายขึ้นรวมไปถึงท็อปปิ้งผลไม้กว่าสิบชนิดให้เลือกตกแต่งโฟรเซนคัสตาร์ดได้ตามใจชอบเลย นอกจากนี้ยังพร้อมเสริ์ฟทั้งในรูปแบบโคน ถ้วย ไอศกรีมปั่น หรือเป็นโฟลตอยู่บนเครื่องดื่มอีกที ไอศกรีมธรรมดาหนึ่งรสถ้วยเล็กสุดราคา $2.30 และถ้วยใหญ่สุดอยู่ที่ $5 ค่ะ นอกจากนี้ยังมีขนมอีกหลากหลายชนิดจากคัสตาร์ดวางจำหน่ายด้วย ตอนนี้มี 2 สาขาในเมือง
1. ร้าน Capogiro Gelato

อันดับ 1 ร้าน Capogiro Gelato ฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนน์ซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา เปิดบริการในปี 2002 โดยคู่สามีภรรยาที่เดินทางไปเที่ยวอิตาลีซึ่งเป็นบ้านเกิดของพ่อแม่สามี ทั้งคู่ได้ทานไอศกรีมอิตาเลี่ยนแท้ๆ จนติดใจ และอยากกลับไปเปิดร้านไอศกรีมเจลาโต้ที่บ้านบ้าง เพราะตอนนั้นเมืองนี้ไม่มีร้านไอศกรีมเจลาโต้เลย ทั้งคู่ตระเวนหาส่วนผสมจากชาวไร่ท้องถิ่นในรัฐเพื่อหาวัตถุดิบที่ดีที่สุดที่จะนำมาทำไอศกรีมตามแบบฉบับอิตาเลียนแท้ๆ แต่ใช้วัตถุดิบในเมืองเพื่อลดต้นทุน และกระจายรายได้ท้องถิ่น ปัจจุบันมีทั้งหมด 4 สาขาทั่วเมือง โดยไอศกรีมแต่ละรสจะทำขึ้นใหม่วันต่อวันโดยผู้เชี่ยวชาญการทำไอศกรีมจากอิตาลี ทำให้แต่ละสาขามีรสชาติไอศกรีมแต่ละวันต่างกัน สามารถตรวจสอบรสชาติในแต่ละวันได้ทางเว็บไซต์ของร้าน นอกจากไอศกรีมเจลาโต้และไอศกรีมรสชาติทั่วไปแล้ว ยังมีไอศกรีมรสชาติไม่เหมือนใครอีกด้วย เช่น รสมาดากัสการ์บอร์บอนวานิลลา, รสทับทิม, รสไซง่อนซินนามอน รวมไปถึงไอศกรีมกะทิจากไทยด้วย (แต่สูตรของที่นี่จะใส่เหล้ารัมเล็กน้อยด้วย รสชาติจะคล้ายไอศกรีมกะทิสดผสมรัมเรซิ่นหน่อยๆ) แถมยังใช้กะทิส่งตรงจากเมืองไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น